ประกันสุขภาพ เลือกให้ครอบคลุมและคุ้มค่า

ประกันสุขภาพ เลือกอย่างไร  ให้ครอบคลุมและคุ้มค่า  

ก่อนที่เราจะมาลงรายละเอียดการเลือก ประกันสุขภาพ ว่ามีวิธีเลือกอย่างไร?  อยากชวนมาอัพเดทการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ครั้งใหญ่ของวงการประกันสุขภาพกันก่อนนะครับ หรือที่หลายคนคงเคยได้ยิน เรื่อง New Health Standard (มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่) กันมาบ้าง

81164  มาถอดรหัสเลขนี้ ด้วยกันนะครับว่ามีความสำคัญอย่างไร ?

วันที่ 8 พ.ย. 2564  จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการประกันสุขภาพ

เปลี่ยนอย่างไร? เปลี่ยนตรงไหน? เปลี่ยนแล้วดียังไง? หลายคนคงสงสัย ตามมาดูกันครับ

จาก การเปรียบเทียบในตาราง จะมี รายละเอียดปลีกย่อยที่ควรศึกษาเพิ่มเติมนะครับ เช่น 3 เงื่อนไขที่มีผลต่อการพิจารณาต่ออายุรับประกัน ได้แก่

  1. มีการปกปิดข้อมูลในการทำประกัน
  2. การเคลมโดยไม่มีความจำเป็น
  3. การเรียกร้องค่าชดเชยเกินรายได้ที่แท้จริง

หรือ 13 หมวดผลประโยชน์ และ  21 ข้อยกเว้นที่ไม่คุ้มครอง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นเวลาจะเลือกซื้อประกันสุขภาพสักฉบับว่าอย่างน้อยต้องมีอะไรบ้างเป็นพื้นฐาน

จะเห็นว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปล้วนเป็นประโยชน์กับผู้ซื้อประกันสุขภาพ ตามNew Health Standard ไม่ว่าจะซื้อกับบริษัทไหน ทั้งบริษัทประกันภัย ประกันชีวิต ล้วนอยู่ในกฎกติกา มาตรฐานเดียวกันจากนี้ไป เข้าใจตรงกัน ไม่ต้องมาถกเถียงกันว่าอันไหนเบิกได้ อันไหนเบิกไม่ได้ หรือทำไปแล้วจะยกเลิกเรารึเปล่า

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรต้องพิจารณาคือ “ของดีของถูกไม่มีในโลก” การปรับเงื่อนไขครั้งนี้ ย่อมตามมาด้วยต้นทุนของบริษัทที่รับประกันที่สูงขึ้นแน่นอน ดังนั้นจึงส่งผลต่อเบี้ยประกันตามเงื่อนไขที่ดีขึ้น ในการวางแผนการเงินโดยเฉพาะการวางแผนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลระยะยาว ( Long Term Healthcare ) จำเป็นต้องกำหนดค่าใช้จ่ายในการชำระเบี้ยประกันไว้ อย่างน้อยต้องมีตัวเลขประมาณการณ์ที่เราจะต้องกันเงินไว้ก้อนหนึ่งเพื่อจ่ายเบี้ยในอนาคตที่เพิ่มขึ้นตามอายุ และเลือกวงเงินค่ารักษาให้เหมาะสมกับความจำเป็นระยะยาว สำคัญคือการ “สรุปกรมธรรม์” ในสิ่งที่มีอยู่แล้วและเติมเต็มสิ่งที่ขาดอยู่ เพราะประกันสุขภาพ คือความสำคัญทั้งวันนี้และอนาคต “ในยามที่จะใช้ต้องมีให้ใช้อย่างเพียงพอ อย่ารอจนวันที่ต้องใช้แล้วไม่มี”

ข้อชวนคิด สำหรับการเลือกประกันสุขภาพสักเล่มจากนี้ไป เมื่อมี New Health Standard  เกิดขึ้น

ลองเทียบอัตราเบี้ยประกันรวมทั้งก้อนที่ต้องจ่ายแบบยาวๆ ตั้งแต่วันที่เริ่มทำจนอายุสุดท้ายที่ต้องส่งเบี้ย นั่นคือสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบกับความมั่นคงของบริษัทนั้นๆ ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันสุขภาพสักฉบับ เพราะเมื่อทำแล้วเราคงไม่สนุกเท่าไรถ้าจะต้องมาเปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ  เหมือนประกันรถยนต์ที่เคลมเยอะเบี้ยแพงก็เปลี่ยนไปหาเบี้ยถูกกว่า เพราะสุขภาพเรายิ่งมีเคลมเยอะนั่นแปลว่า โอกาสสมัครใหม่ยากขึ้นเรื่อยๆนะครับ

พอเล่ามาถึงตรงนี้แล้ว คงพอจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วใช่ไหมครับว่า เมื่อมีมาตรฐานใหม่ที่จับต้องได้และชัดเจนขึ้น ทำให้การเลือกประกันสุขภาพสักฉบับง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่สำหรับในมุมมองของผมการเลือกประกันสุขภาพต้องมี 2 มิติคู่ขนานเสมอครับ โดยผมจะขอแบ่งออกเป็น 2  กลุ่มหลักๆ คือ

1.กลุ่มประกันสุขภาพที่มีรัฐบาลสนับสนุน เช่น สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ( บัตรทอง ) ประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ

2.กลุ่มประกันสุขภาพภาคเอกชน เช่น ประกันสุขภาพกลุ่ม และ ประกันสุขภาพส่วนบุคคล

โดยส่วนตัวแล้วผมยังสนับสนุนให้ทุกคน ควรมีทั้งสองระบบ ควบคู่กันไป เพราะสามารถเอื้อกันและกันได้ เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุแบบไม่ต้องนอนรักษาหรือผ่าตัดใหญ่ เราอาจเลือกใช้สิทธิประกันสุขภาพส่วนบุคคล ก่อน แล้วไปล้างแผลหรือตัดไหม ตามสิทธิบัตรทอง หรือประกันสังคม ได้  หากการชำระเบี้ยประกันไม่ได้กระทบกับรายจ่ายจนเกินกำลัง  ลองมาดูข้อเด่นข้อด้อยของประกันสุขภาพแต่ละอย่างกันครับ

  1. สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ( บัตรทอง )

ข้อเด่น       ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเอง

ข้อด้อย      เลือกหมอเลือกโรงพยาบาลไม่ได้ วงเงินและตัวยาจำกัด 

  1. สิทธิประกันสังคม

ข้อเด่น       มีค่าใช้จ่ายน้อย เลือกโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมได้

ข้อด้อย      มีวงเงินค่ารักษาจำกัด และกำหนดให้ใช้สิทธิโรงพยาบาลแห่งเดียว

  1. สิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ

ข้อเด่น       ได้รับสิทธิ ทั้ง บิดา มารดา คู่สมรสและบุตร  

ข้อด้อย       ได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ  และมีรายการบัญชียาควบคุมค่าใช้จ่าย

  1. ประกันสุขภาพกลุ่ม

ข้อเด่น       เป็นสวัสดิการที่นายจ้างออกให้  สามารถเข้าโรงพยาบาลได้ทั้งรัฐและเอกชน

ข้อด้อย      วงเงินจำกัดตามระดับตำแหน่งงาน ขึ้นกับข้อตกลงที่นายจ้างทำกับบริษัทประกัน

  1. ประกันสุขภาพส่วนบุคคล

ข้อเด่น       สามารถเลือกแบบประกันและวงเงินค่ารักษาได้ตามกำลัง ใช้ได้ทุกโรงพยาบาล

ข้อด้อย      ค่าเบี้ยค่อนข้างสูง โรคเป็นก่อนทำประกันไม่คุ้มครอง มีเกณฑ์สุขภาพในการรับ

 

 

เมื่อเรามาเทียบดูสิทธิการรักษาและประกันสุขภาพแต่ละแบบแล้ว จะพบว่ามีข้อจำกัดที่คล้ายๆกัน อยู่ 2 อย่าง คือวงเงิน และการใช้สิทธิ  ถ้าเป็นส่วนของรัฐสนับสนุนก็จะให้ใช้สิทธิที่โรงพยาบาลรัฐเป็นส่วนใหญ่ โดยที่มีวงเงินกำหนดมาแล้วเช่นค่าห้องต้องไม่เกินเท่าไร เป็นต้น ดังนั้นถ้าเราจะเลือกประกันสุขภาพให้เหมาะกับตัวเรา คำถามที่เรามักต้องถามตัวเองเบื้องต้นก่อน คือ

  1. ถ้าเจ็บป่วยต้องต้องนอนโรงพยาบาลเราจะรักษาที่ไหน ? โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน แล้วค่อยมาเช็คสิทธิที่เรามีอยู่ว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินสิทธิหรือไม่
  2. โรคที่เรามีโอกาสเป็นแบบเจ็บป่วยรุนแรง จนกระทบกับชีวิตการทำงาน เช่นอาจต้องออกจากงานมาเพื่อรักษาตัวเอง ต้องใช้เงินค่ารักษาเท่าไรในวันนี้ แล้วจึงมาเลือกวงเงินที่เหมาะสม
  3. ถ้าคิดจะเลือกประกันสุขภาพสักฉบับอย่าลืมเผื่อเงินเฟ้อในอนาคตด้วยนะครับ เพราะวิวัฒนาการการรักษาย่อมมีค่าใช้จ่ายแพงขึ้น เหมือนสมัยก่อนเป็นมะเร็งต้องฉายแสงทำลายทั้งเนื้อดีเนื้อร้ายหมด วันนี้สามารถทำลายเฉพาะจุดได้ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นตาม
  4. ศักยภาพที่ส่งเบี้ยไหว โดยต้องคำนวณค่าเบี้ยล่วงหน้าไว้เลยครับ อันนี้สามารถขอจากบริษัทหรือตัวแทนได้ครับว่าถ้าต้องส่งเบี้ยประกันสุขภาพจนถึง อายุสุดท้ายที่คุ้มครอง อาจจะ 85 หรือ 90 ปี ต้องใช้เงินเท่าไร เราจะได้มาคำนวณเงินก้อนที่เราต้องกันเอาไว้เพื่อดูแลตัวเอง

แต่ทางเลือกในการซื้อประกันสุขภาพจะไม่ใช่ทางที่คุณเลือกได้อีกต่อไป ถ้าเกณฑ์สุขภาพของคุณไม่เข้าข่ายที่ทางบริษัทสามารถรับได้ หรือมีโรคประจำตัวเกิดขึ้นแล้ว เช่นความดัน เบาหวาน ไขมัน แน่นอนว่าถึงจะรับประกันได้ก็จะมีการยกเว้นความคุ้มครองโรคหรือภาวะสืบเนื่อง หรือบางรายอาจต้องมีการเพิ่มเบี้ยตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทำประกันสุขภาพสักฉบับที่จะมีไว้ติดตัวเพื่อดูแลคุณไปตลอดชีวิต จึงควรทำในเวลาที่สุขภาพเรายังดีอยู่ ซึ่งเราอาจมีข้อจำกัดเรื่องเบี้ย ถ้าอยากได้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมไปในอนาคต เราก็สามารถทำบางส่วนได้ก่อนเช่น เราประเมินแล้วว่า โรคที่มีโอกาสเป็นในอนาคตอีก 20 ปี น่าจะมีค่าใช้จ่าย 2ล้านบาทเมื่อคำนวณเงินเฟ้อค่ารักษารวมไปด้วยแล้ว  แต่เบี้ยสำหรับวงเงินดังกล่าวเกินกำลังของเราในวันนี้ที่เรายังมีเงินไม่พอ หากแต่ค่ารักษาโรคนั้นๆในวันนี้ 1 ล้านบาทก็เพียงพอ เราก็สามารถตัดสินใจทำวงเงินปัจจุบันไปก่อนได้ ตามกำลังที่มี ไม่ต้องรอจนกว่าจะพร้อมแล้วค่อยทำซึ่งสุขภาพเราอาจไม่ได้รอเราให้พร้อมก็เป็นได้

การมีประกันสุขภาพติดตัว ก็เหมือนเกราะคุ้มภัยทางการเงิน ที่จะช่วยแบ่งเบายามเมื่อเราประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งแน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของเราในที่สุด เพราะมันจะหยุดชีวิตของเราไว้ งานที่เคยทำอาจทำไม่ได้หรือต้องพักรักษาตัว ค่าใช้จ่ายการรักษาสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก็คือเงินเก็บเรานี่แหล่ะ แต่ถ้าเงินเก็บไม่พอล่ะก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมารักษา

“ ถ้าไม่อยากมีชีวิตติดลบ ในวันที่ชีวิตต้องพบมรสุม ” ประกันสุขภาพดีๆที่เหมาะกับเราก็น่าจะเป็น ทางเลือกในวันนี้และเป็นทางออกในวันนั้นครับ สนใจปรึกษาเราได้ฟรี ที่ https://werichmerich.com/ 

หรือสนใจเปรียบเทียบแบบ ประกันสุขภาพ หลากหลายบริษัท ได้ที่ https://www.msmany.com/TH/portfolio/nhs2022.html