วางแผนการศึกษาลูก

วางแผนการศึกษาลูก

 

วางแผนการศึกษาลูก
วางแผนการศึกษาลูก  อย่างไร ? วันนี้จะมาชวนคิดเรื่องการเลือกโรงเรียนทางเลือก                  โรงเรียนทางเลือกๆได้จริงหรือ?
พอพูดถึงโรงเรียนทางเลือก เรามักจะคิดถึง Home school ,โรงเรียนแนวต่างๆ
ซึ่งเป็นที่สนใจของพ่อแม่หลายๆคนในยุคนี้ ที่ไม่อยากให้ลูกเครียด เรียนสนุก มีจริงไหม เป็นอย่างไร ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเท่าไรแล้วอนาคตจะไปต่อที่ไหน?
*โรงเรียนทางเลือก ?                                        *โฮมสคูล ?                                              *โรงเรียนวิถีพุทธ? หลายคนคงสงสัย                เราเลือกได้จริงไหมวันนี้จะพามาดูแนวโรงเรียนทางเลือกก่อนว่ามีแนวไหนบ้าง                                                                    

 

เมื่อพอรู้แนวทางการสอนแล้ว ว่ามีแนวไหนบ้าง ที่น่าจะเหมาะกับลูกๆของเรา ลองมาพิจารณา วางแผนการศึกษาลูก โดยเลือกโรงเรียนจาก 3 ปัจจัยหลัก ที่มีผลต่อการตัดสินใจอีกทีนะครับ

  1. การเดินทาง จากบ้านไปโรงเรียน   เพราะคงหมดยุคสมัยที่จะให้ลูกโตในรถ ฝ่ารถติด ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อให้ลูกไปทันโรงเรียนเข้า เพียงเพราะบ้านอยู่ไกลแต่อยากได้โรงเรียนดีๆ คุณภาพชีวิตของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การได้พักผ่อนเพียงพอ มีความสดใสร่าเริงพร้อมไปโรงเรียนในแต่ละวันย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้มากกว่า ดังนั้นการเลือกโรงเรียนใกล้บ้าน ผมจึงแนะนำว่าเป็นเหตุผลข้อแรกในการเลือกครับ  
  2. ค่าใช้จ่ายในการเรียน ค่าเทอมมีความหลากหลายมากครับ อยู่ที่หลักสูตร บุคลากร บางที่เป็นครูต่างชาติเป็นหลัก บางที่มีเป็น Native (ฝรั่งเจ้าของภาษา) ก็จะแพงขึ้นตามลำดับ แม้บางที่จะเป็นครูไทยไม่เน้นภาษาต่างประเทศ แต่ค่าเทอมพอๆกับ ที่เป็นครูต่างชาติก็มี เพราะต้องคัดเลือกบุคคากรที่มีความเป็นนักจิตวิทยาเด็กและประสบการณ์ ก็มีครับ แต่โดยเฉลี่ย จะอยู่ระหว่าง 50,000 – 100,000 บาท / เทอม สำหรับชั้นอนุบาล  ดังนั้นต้องวางแผนให้ดีครับ เพราะบางโรงเรียนต้องจองล่วงหน้า บางแห่งต้องสอบเข้ามีสอบพ่อแม่ด้วยนะครับ เช่นวัดพื้นฐาน ทัศนคติพ่อแม่ว่ามีความเข้าใจแนวทางการสอนของโรงเรียนหรือไม่ ด้วยความที่สามารถรับได้จำกัดแต่ความต้องการสูง จึงต้องมีการคัดเกณฑ์กันพอสมควร สำคัญคือค่าเทอมขึ้นตลอดครับ ปีละ 10% โดยเฉลี่ย
  3. การเรียนต่อในชั้นถัดไป โรงเรียนแนวทางเลือกในปัจจุบัน มีไม่กี่โรงเรียนที่มีศักยภาพเปิดรับได้ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนใหญ่จะเน้นระดับอนุบาลเป็นหลัก จากที่ได้ไปพูดคุยกับหลายที่เนื่องจากต้องเตรียมลูกสาว 2 คน เพื่อศึกษาต่อ จะพบว่าโรงเรียนที่มีแต่กิจกรรมเป็นหลักโดยที่ไม่เน้นวิชาการเลยมีน้อยมากครับ เพราะสุดท้ายเนื้อหาวิชาการเรียนการสอนก็ยังต้องถูกกำหนดโดยภาครัฐเป็นหลัก ยิ่งช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่น อนุบาล 3 จะขึ้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ก็ต้องมีการวัดผลว่าผ่านเกณฑ์ไหม ไม่ว่าจะต่อที่โรงเรียนเดิมหรือที่ใหม่ นั่นคือสาเหตุว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องคงความเป็นวิชาการในระดับหนึ่ง ที่สามารถทำให้นักเรียนที่จบในแต่ละช่วงชั้นปีสามารถไปต่อได้  จึงอยากฝากว่าต้องวางแผนให้ยาวๆว่า ลูกจะเป็นแนวไหน เป็นโรงเรียนทางเลือกยาวๆไปจนจบมัธยม หรือจะมีการเปลี่ยนสายมาเข้าทางหลักตอนไหน แต่ด้วยความเชื่อว่าการบ่มเพาะเด็กๆตามแนวของโรงเรียนทางเลือก เด็กอาจจะช้าในช่วงแรก เรื่องตัวเลข 1 – 100  เขียน A-Z หรือ ก-ฮ ได้เร็วมาก แต่ลูกจะทันเพื่อนๆในช่วงปลายและเร็วกว่าด้วยเพราะระบบการพัฒนาสมองที่แตกต่าง ทั้งนี้พ่อแม่ที่เลือกแนวนี้ต้องมีความพร้อมและความเข้าใจในตัวลูกสูงมากๆ

จะเห็นว่า การเลือกโรงเรียนให้ลูกก็ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะนั่นคือพื้นฐานของชีวิตของลูกที่เรารัก พ่อแม่ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข สามารถวิเคราะห์ แก้ปัญหา ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ สามารถควบคุมตัวเองและมีวินัยเชิงบวกที่จะดูแลตัวเองต่อไปทั้งชีวิต

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรต้องพิจารณาคือการ  วางแผนการศึกษาลูก  ซึ่งเป็นหนึ่งในการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหลานของเรา สามารถได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องตามที่เขาต้องการได้จริงแม้ยามที่เราที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะประสบกับสิ่งไม่คาดฝัน ไม่ว่าอุบัติเหตุทางการเงินนั้น จะเข้ามาในรูปแบบไหนก็ตาม ว่าจะไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายของการศึกษาในอนาคต ที่เราได้วางไว้ให้เขาอย่างดีแล้ว นั่นคือความสำคัญทั้งวันนี้และอนาคต  

ข้อชวนคิด สำหรับการวางแผนการศึกษาบุตรหลาน  ตอบ 3 คำถามให้ได้ก่อนครับ

  1. เรียนที่ไหน ?
  2. เรียนกี่ปี ?
  3. ใช้เงินเท่าไร ?

            ถ้ายังไม่รู้จะวางแผนอย่างไรต่อ เรายินดีให้คำปรึกษาอย่างเป็นระบบ กับ https://werichmerich.com/ โดยนักวางแผนการเงินมืออาชีพ ที่คุณไว้ใจได้ หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเพจ นี้ครับhttps://www.rakluke.com/learning-all/education/item/2020-03-21-13-17-28-2.html

เพราะ สิ่งที่เราเรียกว่า วางแผนการศึกษาลูก นั้น มีมิติที่หลากหลายมากกว่า แค่การเตรียมเงินทุนการศึกษาให้เพียงพอเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงความชอบความถนัดในตัวเด็กๆด้วย การค้นพบสิ่งที่รักและความหลงไหล หรือ Passion ของลูกๆจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากสามารถพบได้เร็วย่อมสามารถส่งเสริมเขาได้อย่างถูกทาง ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในสิ่งที่เขาไม่ชอบหรือไม่ได้ถนัด เราจะสังเกตได้ว่ามีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่พอเรียนในชั้นมหาวิทยาลัยแล้วก็เปลี่ยนคณะ หรือหลายคนที่จบการศึกษาออกมาแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองเรียนมา  การวางแผนการศึกษาลูกจึงมีองค์ประกอบจากหลากหลายส่วน สามารถศึกษาเพิ่มเติมค้นหาแนวทางได้จากบทความที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้ https://brandinside.asia/adecco-children-survey-2021/                                                          

โดยขอนำบทความเรื่องการส่งเสริมลูกให้ค้นพบตนเอง จาก ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน  มาให้อ่านนะครับ          

เปิดโอกาสด้วยคำว่า “ลอง”

คำว่า “ลอง” มักมาพร้อมกับคำว่า “โอกาส” โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวัยเด็ก พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองผิดลองถูก และให้เขาได้ทดลองด้วยตัวเอง มิใช่ทำให้ลูกทุกอย่าง เพราะเท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้ของลูก ซึ่งรวมไปถึงการให้ลูกได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่หลากหลาย

ปล่อยอิสระให้ได้ใช้ความคิด ❤︎ 

พ่อแม่ควรให้อิสระแก่ลูกในการคิดอ่านหรือทำสิ่งใดไม่ควรเป็นผู้บงการชีวิตลูก เช่น อยากให้ลูกสานฝันของพ่อแม่ที่ไม่สามารถเรียนในสาขานั้น ๆ ได้สำเร็จ โดยไม่ได้คำนึงว่าลูกจะชอบหรือถนัดในด้านนั้นหรือไม่ พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกรู้จักตัวเองจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สามารถตัดสินใจในการเลือกสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่มีหน้าที่คอยชี้แนะอยู่ห่างๆ

เป็นกระจกให้ลูก

พ่อแม่ต้องพยายามมองลูกด้วยสายตาความเป็นจริง มิใช่อคติหรือลำเอียง จากนั้นก็ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกได้เห็นตนเองในมุมต่าง ๆ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดด้อย ฯลฯ การสะท้อนภาพด้วยวัยและประสบการณ์ของลูก อาจทำให้เขามองเห็นภาพของตัวเองได้หลากหลาย เหมาะสม ซึ่งพ่อแม่คือผู้ที่เห็นลูกใกล้ชิดที่สุด และสามารถเข้าใจความเป็นตัวตนของลูกมากที่สุด

สนับสนุนสิ่งที่ลูกชอบ

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือคอยสังเกตและสนับสนุนในสิ่งที่ลูกถนัดและทำได้ดี จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจ และมีความพยายามที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบและทำได้ดี อย่าพยายามคิดและตัดสินใจแทนลูก แต่เปลี่ยนมาสร้างบทบาทการฟังลูกให้มาก ฟังอย่างตั้งใจ เพื่อจะได้รู้ว่าลูกคิดอย่างไร ลูกอยากทำอะไร โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นโค้ชหรือผู้แนะนำ เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้รู้จักตัวเอง มีความถนัดอะไร ชอบอะไร ทำอะไรได้ดี และควรปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเองอย่างไร โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อลูกค้นหาและค้นพบว่าตัวเองถนัดอะไร ชอบอะไร ซึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะตรงใจพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ต้องเข้าใจ ยอมรับและเคารพในตัวลูกด้วย

ส่งเสริมให้ลูก “อ่าน”

การอ่านเป็นประตูบานสำคัญที่จะช่วยให้ลูกเปิดโลกทัศน์ เปิดความสนใจ เปิดประสบการณ์ช่วยให้ลูกได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ซึ่งหมายความว่าถ้าเด็กได้รับโอกาสที่ดีและเหมาะสม ก็จะนำไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ด้วย เมื่อลูกโตขึ้นก็ขยับความสนใจให้ลูกเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น ซับซ้อนตามวัย ยิ่งถ้าเป็นการให้เขาเรียนรู้สิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขาชอบ ก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีต่อไปในอนาคต

การรู้จักตัวเองเป็นทักษะสำคัญที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน ผ่านกระบวนการบ่มเพาะ ผ่านประสบการณ์การลองผิดลองถูก เพื่อนำไปสู่การรู้จักตัวเองอันเป็นรากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ รู้อะไรไม่สู้รู้จักตัวเอง

 

                                                                       

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *